3 ผลไม้ที่กินแล้วช่วยลดพุงได้ดี

สมัยปัจจุบันนี้หากใครที่กำลังอยู่ในช่วงของการลดน้ำหนัก ลดพุง หรือลดความอ้วนกันอยู่ขอบอกเลยว่า นอกจากการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์หรือแม้แต่การออกกำลังเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ทำ ให้น้ำหนักของเรานั้นลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งรู้หรือไม่ว่า หนึ่งในวิธีที่จะช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องของเราออกไปได้

นั่นก็คือการเลือกรับประทานผลไม้บางชนิด เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าผักผลไม้มีประโยชน์ดีต่อสุขภาพร่างกายของเราเป็นอย่างมากเพราะอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างไฟเบอร์ ที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย

ช่วยเผาผลาญไขมันได้เป็นอย่างดีรับรองได้เลยว่าหากเราเลือกทานเป็นประจำนั้นจะยิ่งทำให้การลดน้ำหนัก ลดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง หรือทำให้การลดความอ้วนของเรานั้นเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น เชื่อว่าหนุ่มๆสาวๆส่วนใหญ่มักที่จะมองหาผักหรือผลไม้ที่มีส่วนช่วยในการลดพุงได้ดี

ซึ่งวันนี้เราก็จะมาแนะนำผลไม้ที่รับรองได้เลยว่าหากเราเลือกทานเป็นอาหารว่างเป็นประจำนั้นนอกจากจะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของเรายังช่วยลดไขมันลดพุงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ไปดูกันเลย

  • มะละกอสุก รู้หรือไม่ว่านอกจากมะละกอสุกจะขึ้นชื่อในเรื่องของการบำรุงผิวพรรณของเราได้เป็นอย่างดีแล้วยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานระบบขับถ่าย แถมยังให้พลังงานที่ดีต่อร่างกายของเราอีกด้วย

เนื่องจากมะละกอสุกจะอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีเอนไซม์ที่มีส่วนช่วยในการย่อยอาหารได้ดี รับรองได้เลยว่ายิ่งเราทานเป็นประจำนั้นจะไม่เพียงแต่มีผิวพรรณที่ดีแต่ยังช่วยลดพุงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

  • บัวหิมะ ถึงแม้ว่าผลไม้ชนิดนี้หลายคนจะมองว่าเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานซึ่งอาจจะทำให้เราอ้วนได้ง่ายมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นบัวหิมะถือเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีส่วนช่วยในการลดพุงของเราได้

อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับคนที่อยากมีสุขภาพร่างกายที่ดีอีกด้วย นอกจากนี้ในบัวหิมะ ยังสามารถช่วยลดอาการต่างๆ โดยเฉพาะช่วยลดคอเลสเตอรอลและลดความดันในเลือดได้เป็นอย่างดี

  • แก้วมังกร หลายคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากับผลไม้ชนิดนี้กันอยู่แล้วซึ่งขอบอกเลยว่าแก้วมังกรไม่เพียง แต่เป็นผลไม้ที่สามารถหาทานได้ง่ายแต่ยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่ดีต่อระบบขับถ่าย ซึ่งก็เหมาะสำหรับคนที่อยู่ในช่วงของการลดน้ำหนักหากทานเป็นประจำจะยิ่งทำให้พุงของเรานั้นลดลงอย่างรวดเร็ว

 

สนับสนุนโดย    เครื่องช่วยฟังคนหูหนวก

รสชาติอาหารแบบไหนที่ดีต่อสุขภาพ

  หากพูดถึงเรื่องของอาหาร แน่นอนว่าในสมัยปัจจุบันนี้รสชาติอาหารนั้นจะมีความแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นรสชาติหวาน รสชาติมัน รสชาติเปรี้ยว รวมไปถึงรสชาติเค็ม ซึ่งในแต่รสชาติของอาหารนั้นหลายๆคน

ก็จะมีรสชาติโปรดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งรู้หรือไม่ว่ารสชาติอาหารเป็นหนึ่งใน สิ่งที่จะบอกได้ว่า อาหารเหล่านี้ดีต่อสุขภาพร่างกายของเราหรือไม่

เพราะในสมัยปัจจุบันนี้มีอาหารมากมายหลากหลายประเภทที่แตกต่างกันออกไปรวมไปถึงเรื่องของรสชาติอีกด้วย ถึงแม้ว่าการรับประทานอาหารจะมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากแค่ไหนก็ตาม

 

รสชาติอาหารแบบไหนที่ดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าจะให้ดีต่อร่างกายเราก็ควรเลือกทานอาหารที่มีความเหมาะสมแก่ร่างกายของเรามากที่สุดเพื่อให้ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเรานั่นเอง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบันนี้มีรสชาติอาหาร ที่ชื่นชอบกันอยู่แล้ว

ดังนั้น วันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่ารสชาติของอาหารในรูปแบบไหนบ้างที่ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของเรา  เครื่องช่วยฟังคนหูหนวก   จะมีรสชาติไหนกันบ้างนั้นไปดูกันเลย

  • รสชาติเค็ม

เป็นหนึ่งในรสชาติที่คนส่วนใหญ่นั้น มักที่จะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะรสชาตินี้เป็นรสชาติเค็มจากธรรมชาติที่คนส่วนใหญ่นั้นชื่นชอบ แต่รู้หรือไม่ว่าในความเป็นจริงแล้วอาหารรสชาติเค็มนั้นเป็นหนึ่งในอาหารรสชาติที่ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย ซึ่งแน่นอนว่า อาจส่งผลกระทบต่อไปของเรา ทำให้เรามีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต โรคความดันโลหิตสูง รวมไปถึงอาจเกิดความอันตรายขึ้นกับร่างกายของเราได้นั่นเอง

  • รสชาติหวาน

แน่นอนว่าอาหารรสชาตินี้เป็นอาหารรสชาติที่ถูกปากใครหลายๆคนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมหวาน ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าอาหารที่มีรสชาติหวานนั้นจะทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารที่มีรสชาติหวานเกินไปนั้นนอกจากจะส่งผล เสี่ยงต่อการที่ร่างกายของเราจะมีระดับน้ำตาลที่พุ่งสูงมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังทำให้คนส่วนใหญ่ที่ชื่นชอบการทานหวานนั้นเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้ง่ายอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว ซึ่งจะยิ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดนั้นเกิดการเสียสมดุลได้

  • รสชาติเปรี้ยว

ถึงแม้ว่าอาหารรสชาตินี้จะเป็นรสชาติที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของถุงน้ำดีหรือระบบขับถ่ายของเราได้ แต่หากเราทานเยอะๆก็อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราได้เช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าอาจส่งผลให้เราท้องเสียได้ง่าย เป็นร้อนใน และที่สำคัญอาจทำให้ร่างกายของเรามีระบบน้ำเหลืองที่ทำงานได้ผิดปกติอีกด้วย

คุณต้องการน้ำมากแค่ไหน

คุณต้องการน้ำมากแค่ไหน ปริมาณน้ำที่คุณต้องการขึ้นอยู่กับหลายสิ่งหลายอย่างและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล สำหรับผู้ใหญ่ คำแนะนำทั่วไปจาก The U.S. National Academies of Sciences, Engineering and Medicine

เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ผู้หญิง 11.5 ถ้วย (2.7 ลิตร) ต่อวัน 15.5 ถ้วย (3.7 ลิตร) ต่อวันสำหรับผู้ชาย ซึ่งรวมถึงของเหลวจากน้ำ เครื่องดื่ม เช่น ชาและน้ำผลไม้ และจากอาหาร คุณได้รับน้ำเฉลี่ย 20 เปอร์เซ็นต์จากอาหารที่คุณกิน 

คุณอาจต้องการน้ำมากกว่าคนอื่น ปริมาณน้ำที่คุณต้องการยังขึ้นอยู่กับ คุณอาศัยอยู่ที่ไหน คุณจะต้องใช้น้ำมากขึ้นในบริเวณที่ร้อน ชื้น หรือแห้ง คุณจะต้องใช้น้ำมากขึ้นหากคุณอาศัยอยู่ในภูเขาหรืออยู่บนที่สูง อาหารของคุณ

หากคุณดื่มกาแฟและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอื่นๆ เป็นจำนวนมาก คุณอาจสูญเสียน้ำมากขึ้นจากการถ่ายปัสสาวะ คุณอาจต้องดื่มน้ำมากขึ้นด้วยหากอาหารของคุณมีรสเค็ม เผ็ด หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง หรือจำเป็นต้องใช้น้ำมากขึ้นถ้าคุณไม่กินอาหารที่ให้ความชุ่มชื่นซึ่งมีน้ำสูง เช่น ผลไม้และผักสดหรือสุก อุณหภูมิหรือฤดูกาล คุณอาจต้องการน้ำมากขึ้นในเดือนที่อากาศอบอุ่นกว่าน้ำที่เย็นกว่าเนื่องจากเหงื่อออก

สภาพแวดล้อมของคุณ หากคุณใช้เวลากลางแจ้งมากขึ้นท่ามกลางแสงแดดหรืออุณหภูมิที่ร้อนจัด หรือในห้องที่มีความร้อนสูง คุณอาจรู้สึกกระหายน้ำเร็วขึ้น คุณกระตือรือร้นแค่ไหน หากคุณเคลื่อนไหวในระหว่างวันหรือเดินหรือยืนมาก คุณจะต้องการน้ำมากกว่าคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ หากคุณออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่เข้มข้น คุณจะต้องดื่มมากขึ้นเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำ สุขภาพของคุณ หากคุณมีการติดเชื้อหรือมีไข้ หรือหากคุณสูญเสียของเหลวจากการอาเจียนหรือท้องเสีย คุณจะต้องดื่มน้ำให้มากขึ้น หากคุณมีภาวะสุขภาพเช่นโรคเบาหวาน คุณจะต้องการน้ำมากขึ้น ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ อาจทำให้คุณสูญเสียน้ำได้

ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร. หากคุณกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมลูก คุณจะต้องดื่มน้ำเพิ่มเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ ร่างกายของคุณกำลังทำงานสำหรับสองคน (หรือมากกว่า) หลังจากทั้งหมด การดื่มน้ำส่งผลต่อระดับพลังงานและการทำงานของสมองหรือไม่ หลายคนอ้างว่าถ้าคุณไม่ดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดทั้งวัน ระดับพลังงานและการทำงานของสมองจะเริ่มลดลง

มีการศึกษามากมายที่สนับสนุนเรื่องนี้ การศึกษาหนึ่งในผู้หญิงพบว่าการสูญเสียของเหลว 1.36 เปอร์เซ็นต์หลังออกกำลังกายทำให้อารมณ์และสมาธิลดลง และเพิ่มความถี่ในการปวดหัว  การศึกษาอื่นในประเทศจีนที่ติดตามชาย 12 คนในมหาวิทยาลัยพบว่าการไม่ดื่มน้ำเป็นเวลา 36 ชั่วโมงมีผลต่อความเหนื่อยล้า สมาธิและสมาธิ ความเร็วในการตอบสนอง และความจำระยะสั้น 

อย่างเห็นได้ชัด แม้แต่การขาดน้ำเล็กน้อยก็สามารถลดสมรรถภาพทางกายได้ การศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับชายสูงอายุที่มีสุขภาพดีรายงานว่าการสูญเสียน้ำในร่างกายเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ลดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ พลังและความอดทน การสูญเสียน้ำหนักตัว 1 เปอร์เซ็นต์อาจดูเหมือนไม่มาก แต่จำเป็นต้องสูญเสียน้ำในปริมาณมาก สิ่งนี้มักเกิดขึ้นเมื่อคุณมีเหงื่อออกมากหรืออยู่ในห้องที่อบอุ่นมาก และดื่มน้ำไม่เพียงพอ

 

สนับสนุนโดย.  เครื่องช่วยฟังคนหูหนวก